27 ก.ย. 2548

ระฆัง...กำลังใจ



วันนี้รู้สึกดีเป็นพิเศษกับของขวัญสองชิ้นที่ได้รับมาจากพี่แอน พี่อั๋น ตั้งแต่เมื่อคืนวาน ชิ้นหนึ่งเป็นระฆังรูปปลา และชิ้นที่สองเป็นโมบายกระดาษรูปปลา นัยว่าเป็นศิริมงคลให้ค้าขายร่ำรวย เห็นหน้าตาของของขวัญทั้งสองชิ้นรู้สึกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเพราะเขาอยากให้ค้าขายดีหรอกนะ เพราะพี่ทั้งสองบอกว่าให้เป็นของขวัญเปิดร้านต้นไม้ ก็คงจะมีผลบ้างกับความรู้สึกตรงนี้ ใครจะไม่อยากค้าขายดีเนอะ ก็เราเป็นแม่ค้าแล้วนี่นา แต่ที่รู้สึกดีมากๆ คือ ความตั้งใจใส่ใจของผู้ให้ ของทั้งสองชิ้นเป็นรูปปลา ผู้ให้ตั้งใจให้สิ่งนี้เพราะตรงกับชื่อของฉัน ฉันจึงรับและสัมผัสมาด้วยใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้รับความรู้สึกแบบนี้ พี่ทั้งสองเอื้อเฟื้อหยิบยื่นให้แต่สิ่งที่ดีเสมอมา ได้แต่บอกตัวเองเสมอมาว่าอยากขอบคุณจริงๆ ฉันจะเอาของทั้งสองสิ่งนี้ไปแขวนไว้ที่ร้าน นอกจากจะเป็นกำลังใจเป็นความรู้สึกดีๆ แล้ว เห็นรูปโมบายปลาตะเพียนก็อดที่จะรำพันอย่างที่เขานิยมทั่วไปไม่ได้ว่า "ขอให้ขายดีๆ นะเจ้าคะ...สาธุ"




ระฆังรูปปลาในถุงแดงแสนน่ารัก

23 ก.ย. 2548

ดอกไม้ธรรมดาของวันพิเศษ


ภาพ: "อัญชัญ" ดอกไม้ธรรมดาที่บเห็นอยู่บ่อยๆ แต่สีม่วงของอัญชัญทั้งเข้มและอ่อนน่ารักไม่เบา

พูดถึงคำว่าวันพิเศษเพราะไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ที่อยากจะให้รู้ว่าวันนี้มีอะไรพิเศษกว่าทุกวันนะ ทั้งๆ ที่ก็คงจะเหมือนกับทุกๆ วัน แต่บางครั้งพอเราจะคิดว่า วันไหนๆ ก็เหมือนกันทุกวันสำหรับเรา ปีใหม่ วาเลนไทน์ วันไหนๆ วันครบรอบอะไรอื่นๆ เราก็ไม่มี มันก็จะรู้สึกว่า เอ ! ชีวิตเราแห้งเหี่ยวไปหรือเปล่าหนอ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ใช่หรอกนะ ฉันเองก็มีวันแห่งความทรงจำ วันแห่งความรู้สึกที่ดีอยู่ในใจเหมือนกันนา เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ใช่วันพิเศษของใครๆ แต่วันนั้นก็เป็นวันแห่งความทรงจำแม้จะรู้ว่าอาจจะไม่มีวันนั้นอีก...สำหรับวันนี้ เรียกว่าวันครบรอบวันเกิด ที่ทุกๆ ปี ใครๆ ก็รู้สึกว่าเป็นวันพิเศษ ฉันก็เลยต้องมีวันพิเศษกับเขาเสียหน่อยพอให้รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษขึ้นมาบ้าง

ภาพ: "กุหลาบ" แม้จะไม่ใช่ดอกไม้ที่ชื่นชมเป็นพิเศษ แต่ก็อดเหลียวมองยามดอกบานไม่ได้ทุกที

บอกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ แต่เช้านี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความกังวล นึกถึงตอนเด็กๆ เวลาบอกว่าวันเกิด รู้สึกจะยิ่งใหญ่มาก มีเวลาให้กับความรู้สึกพิเศษทั้งวัน แต่เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ ภารกิจเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราทำให้เรามีเรื่องมากมายต้องคิดต้องกังวล จนดูราวกับว่าเวลาของความสุขความสนุกอาจจะนานๆ จึงจะเยือนมาหาเราอีกครั้ง เมื่อเราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เราก็มีเรื่องให้กังวลมากขึ้นตามลำดับ ความกังวลของฉันเช้านี้สืบเนื่องมาจากงานจัดสวนของฉันเมื่อวาน เพราะเป็นงานแรกๆ ที่ฉันเพิ่งรับมาหลังจากเริ่มเปิดร้านต้นไม้ไม่นาน ฉันจึงกังวลแต่ว่าฉันจะยังทำไม่ได้ดีที่สุด หรือฉันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ หรือมันยังไม่สวยพอ เมื่อคืนกังวลจนเก็บเอาไปฝัน เฮ้อ ! หนทางยังอีกยาวไกลน่ะ หากฉันรักที่จะทำในสิ่งนี้หวังไว้ว่าสักวันฉันคงจะก้าวสู่มืออาชีพ มืออาชีพของฉันที่ว่าคือ ไม่ว่าสวนไหนๆ ที่ฉันจัดไปแล้ว เจ้าของสวนเขาจะพอใจและมีความสุข

ภาพ: ไม่แน่ใจว่าเจ้าดอกนี้คือลูกผสมที่ชื่อ "ดอนมาลี" หรือไม่ ก่อนดอกบานตูมอยู่นาน แต่พอบานแล้วก็สวยให้ชื่นชมอยู่หลายวันทีเดียว

เดินลงสวนสลัดความกังวลทิ้งไป ฉันยังมีวันพรุ่งนี้ที่ต้องก้าวเดินอย่างมั่นคงต่อไป

ภาพ: "ข้าวตอกปราจีน" กล้วยไม้ดอกจิ๋วๆ ให้ความรู้สึกน่ารักเบิกบานในใจ

กับความรู้สึกดีๆ ของวันนี้ ฉันได้รับของขวัญน้ำใจจากน้องๆ ที่ทำงาน และพี่เปิ้ล หนึ่งในของขวัญนั้นมีหนังสือ "สรรค์สร้างงานสวน" ด้วย ถูกใจเพราะเล่มนี้ยังไม่มี อืม ! วันพิเศษก็ดีอย่างนี้แหละ

ภาพ: "พัดโบก" ดอกขาวเล็กๆ รูปร่างหน้าตาคล้ายพัดโบกจิ๋ว แม้ดอกจะร่วงโรยไว แต่ก็ออกดอกสะพรั่งให้ชื่นชมอยู่บ่อยๆ

15 ก.ย. 2548

มรสุม...

เช้าวันนี้ฟ้าใส หลังจากฝนตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืนวันจากพิษภัยของพายุไม่รู้ลูกไหน ฝนกระหน่ำแบบนี้เล่นเอาทุกข์ใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะรับรู้สภาพว่าที่ร้านต้นไม้ของตัวเองนั้นน้ำท่วมหนัก น้ำจากแอ่งน้ำธรรมชาติไหลล้นทะลักมาบริเวณที่เก็บต้นไม้ใหญ่ ทำเอาเก็บมากังวลทั้งคืน ด้วยความห่วงใย และสงสารต้นไม้ใหญ่จำนวนมากที่อาจต้องทรมานตายเพราะน้ำท่วมขัง ถึงตอนนี้อดคิดถึงความทุกข์ยากของชาวบ้านไม่ได้ แต่ก่อนดูทีวีรับฟังข่าวสารว่าฝนตกน้ำท่วมที่ไหน เกษตรกรเสียหาย ก็ได้แต่สงสารแต่ไม่ได้เข้าถึงความรู้สึกของความทุกข์นั้นดีนัก เพราะตัวเรายังหลบอยู่ใต้ชายคาบ้านอิงอุ่นอยู่ใต้ผ้าห่มอบอุ่นใจ มาวันนี้รู้ซึ้งถึงความทุกข์ความกังวลใจของคนเรากับภัยธรรมชาติที่ห้ามไม่ได้แล้ว
แม้จะกังวลและทุกข์ใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นเองได้แล้วมันก็จะจากไปเอง ฉันทำได้เพียงแค่รอ และภาวนาว่าให้ต้นไม้อดทนอย่าเพิ่งล้มหายตายจากไป เก็บความทุกข์ความกังวลไว้พยายามข่มใจ ลงสวนเดินชมเก็บภาพดอกไม้บานอื่นๆ แทนให้คลายความกังวล นึกขึ้นได้ก่อนวันฝนตกกระหน่ำ ต้นถ้วยทองที่ปลูกจากต้นเล็กๆ มาแสนนานตอนนี้ดอกแรกบานแล้ว คืนนั้นที่เจอตั้งใจว่าเช้าขึ้นมาจะรีบไปชื่นชมเสียหน่อย แต่เวลาล่วงเลยข้ามวันข้ามคืนมาสองวันแล้ว เพราะฝนกระหน่ำ ไม่รู้ป่านนี้จะยังดอดยู่ดีไหมหนอ รีบเดินไปดูโชคดีดอกยังบานสดชื่นให้ได้เก็บไว้มาชื่นชม



บุหงาส่าหรีดอกยังสะพรั่งสดชื่นเต็มต้นรับลมฝน



หนึ่งในพุดที่โปรดปราน พุดซ้อน ตอนนี้ต้นโตพุ่มใหญ่มีดอกบานอยู่ทุกวัน และหอมสดชื่นมากๆ



บุหงาแต่งงาน น่ารักและหอมสดชื่นอยู่เสมอ



เฮ้อ !ได้แต่รอ กี่ชั่วโมงกี่วันหนอ น้ำที่ท่วมขังจึงจะลดหมดไป

2 ก.ย. 2548

ชีวิตใหม่




วันนี้รู้สึกสดชื่นพิเศษ เมื่อเห็นบุหงาส่าหรีต้นใหญที่เหี่ยวแห้งเกือบจะตายไปแล้ว แตกยอดอ่อนออกมาเต็มต้น มันเป็นความรู้สึกชุ่มชื่นเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนรู้ว่าสิ่งที่รักที่จากไปกำลังกลับคืนมา คนที่ปลูกต้นไม้ รักต้นไม้ คงจะเข้าใจความรู้สึกที่ว่าเวลาเห็นต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งแทบตายลงในพริบตา เหมือนกับคนที่ป่วยหนักเป็นอะไรสักอย่างนั้นจะรู้สึกอย่างไร ฉันจะเล่าถึงสาเหตุการป่วยหนักของเจ้าบุหงาส่าหรีนี้...เวลาเลือกต้นไม้ที่จะปลูก หรือมีต้นไม้ไว้พร้อมที่จะปลูกนั้น สิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงคือ จะวางต้นนั้นไว้ตรงตำแหน่งไหน โดยเฉพาะจะต้องคำนึงถึงความต้องการแสงแดดของต้นไม้ ต้นไหนต้องปลูกในร่ม ต้นไหนแดดรำไร และต้นไหนปลูกกลางแดดจ้าได้ แต่เท่านั้นยังไม่พอยังมีรายละเอียดอีกมากที่เราต้องให้ความสนใจ เช่น เราจะประคบประหงมต้นไม้ที่เราเพิ่งจะเอามาเริ่มปลูกใหม่ๆ อย่างไรให้แข็งแรงก่อน...ฉันซื้อบุหงาสาหรีต้นใหญ่มาสองต้น ยังอยู่ในสภาพห่อเป็นตุ้ม หลังจากซื้อมาก็พักไว้ แต่ด้วยความที่เข้าใจว่า บุหงาส่าหรีทนต่อแสงแดดจัดได้ ฉันจึงตั้งทั้งสองต้นไว้กลางแดด วันแรกๆ ต้นเริ่มเฉา ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากคิดว่าวันนี้แดดคงแรงไปต้นไม้ต้องเฉาเป็นธรรมดา แต่ต่อมาวันที่สอง และถึงวันที่สามเมื่อฉันไปดูใหม่อีกครั้งแทบร้องไห้โฮ มันเหี่ยวแห้งเหมือนตายสนิท ฉันจึงเริ่มคิดหาสาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ก็รดน้ำปกติ ลองถามผู้รู้เกี่ยวกับไม้ล้อมดู จึงได้ความว่าบางครั้งไม้ที่ล้อมมาจะต้องพักตัวให้แข็งแรงและรากเดินดีก่อน หากยังไม่แข็งแรงพอต่อให้เป็นไม้ทนแดดก็อาจจะไม่สามารถทนแดดได้ อาการของเจ้าต้นบุหงาส่าหรีก็คงเป็นเช่นนั้น ฉันมองดูสภาพของต้นแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะสามารถฟื้นคืนหรือไม่ แต่ด้วยความที่ยังทำใจไม่ได้ และคิดว่าชีวิตเราควรอยู่ด้วยความหวัง ฉันจึงนำเจ้าสองต้นนี้แอบเข้าร่ม รดน้ำเป็นปกติทุกวัน จะใส่ปุ๋ยใส่อะไรก็ไม่กล้า เพราะได้ยินมาว่าหากต้นไม้กำลังอ่อนแอ อย่าเพิ่งใส่ปุ๋ยต้นไม้อาจจะช็อคได้ สองเกือบสามอาทิตย์ผ่านไปก็ยังดูปกติเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใบเหี่ยวแห้งอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น คิดว่าคงหมดหวังแล้วจริงๆ แต่แล้ว จู่ๆ ช่วงสามสี่วันที่ผ่านมานี้ ฝนก็ตกลงมาไม่ขาดสาย อาจจะด้วยมรสุมอะไรสักอย่าง...และแล้วใบอ่อนของต้นบุหงาส่าหรี่ก็เริ่มแตกยอดออกมาเต็มต้น ฉันมองด้วยความตื่นเต้น ใบสีเขียวอ่อนๆ ของต้นไม้ เป็นภาพที่มีชีวิตชีวา และให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บางยอดมีสายของดอกตูมๆ เล็กๆ เตรียมผลิบานออกมาด้วย ฉันดีใจตื้นตันใจมากๆ ไปยืนแหงนมองดูยอดใบของชีวิตใหม่อยู่นานสองนาน ฉันรีบจัดการกับกิ่งใบที่แห้งตายออกให้หมด หวังจะให้เจ้าต้นนี้ลืมชีวิตเก่าไปเสียว่าเกิดอะไรขึ้น...เฮ้อ ถือเป็นบทเรียน ฉันจะไม่ประมาทแบบนี้อีกแล้ว

1 ก.ย. 2548

พัดโบก...กับหัวใจที่เปราะบาง

ทุกๆ วันนี้กับชีวิตที่หาเวลาไม่ค่อยจะได้ ก็ทำให้ตัวเองไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องราวอะไรที่จะทำให้ใจอ่อนไหวนัก หรือพยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้...วันนี้จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องราวและความรู้สึกบางอย่างที่ผ่านมาในชีวิตเกิดกระทบใจ ทำให้ต้องขุดคุ้ยความรู้สึกเก่าๆ ขึ้นมา กระทบไปถึงความรู้สึกของคำว่าอ่อนไหวบ้าง แล้วก็เลยนึกถึงไปว่าฉันเคยอยู่กับความรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ พักหลังมันหายไปไหน ฉันไม่มีเวลาจะนั่งนึกถึงเหรอ ? ก็คงจะไม่ใช่ นึกๆ ย้อนไป ใช่แล้วล่ะ ที่ฉันพยายามสลัดความรู้สึกของความเป็นคนช่างอ่อนไหวออกไปเพราะความกลัว กลัวว่าความอ่อนไหวมันจะทำให้จิตใจของคนเปราะบาง ฉันถามตัวเองว่าฉันเริ่มกลัวมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ความจริงแล้วความอ่อนไหวมีส่วนทำให้เรามีจินตนาการ หรือความละเอียดอ่อนได้ เมื่อนึกย้อนไปก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ฉันเริ่มกลัวความรู้สึกอ่อนไหว เมื่อคราวที่ได้อ่านนวนิยายเล่มหนึ่งเข้า

"บ้านขนนก" ของกฤษณา อโศกสิน คือชื่อนวนิยายเล่มนั้น ฉันชื่มชมคนเขียนที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวธรรมดาของผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ลึกซึ้งและกินลึกไปถึงอารมณ์ของผู้อ่าน จนทำให้ฉันกลัวเรื่องความอ่อนไหว เพราะผู้เขียนเองก็คงตั้งใจจะสื่อถึงอารมณ์อ่อนไหวของคนเราว่ามีอานุภาพต่อชีวิตมากเพียงใด แม้แต่ชื่อของตัวละครยังสื่อชัดเจนว่ามีบุคลิกเช่นใด อย่าง "เหมือนแพร" ชื่อของนางเอก และ "พัดโบก" คือชื่อของพระเอก ฉันคงไม่สามารถบอกรายละเอียดเรื่องราวได้ทั้งหมด ฉันอ่านเรื่องนี้มานานแล้ว นานจนจำได้แต่เพียงว่าความรู้สึกอะไรที่ติดมาในความทรงจำ

เรื่องราวนั้นบอกเล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีอารมณ์เปราะบางและอ่อนไหวกระทบง่าย มีปมชีวิตอะไรบางอย่างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น มีชีวิตที่เติบโตขึ้นมากับวัตถุ ไม่เคยสัมผัสกับบรรยากาศชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น เพราะพ่อแม่แยกทาง อยู่กับแม่และโรงเรียนประจำ แต่สิ่งที่ไม่ขาดคือความพร้อมทางวัตถุ เนื้อเรื่องแสดงให้เห็นว่าเหมือนแพรคือคนที่โหยหาความรักและและความอบอุ่น ต้องการครอบครัว แต่โชคไม่ดีที่เหมือนแพรเจอกับผู้ชายอย่างพัดโบก ผู้ชายรักอิสระเสรี ไม่จริงจังกับชีวิต รักความรื่นรมณ์มากกว่าซาบซึ้งทางปรัชญาของชีวิต เจ้าชู้และไม่ชอบการผูกมัด ในช่วงแรกพัดโบกชอบเหมือนแพรตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ ประกอบกับเหมือนแพรอ่อนหวานเอาใจเก่ง เพราะความรักและความจริงจังที่ต้องการมีครอบครัว เหมือนแพรจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับพัดโบก ระหว่างคนที่ไม่ชอบการผูกมัด และคนที่ต้องการการผูกมัดเพื่อความมั่นคงจึงเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีทางบรรจบ เมื่อพัดโบกอิ่มในความรักและหลง จึงกลัวความจริงจังและการผูกมัดของเหมือนแพร แม้เรื่องราวจะลงเอยถึงตอนที่พัดโบกและเหมือนแพรควรจะต้องแต่งงานกัน พัดโบกยิ่งดึงใจของตัวเองออกไป ไกลเท่าใดยิ่งทำร้ายเหมือนแพรเท่านั้น ในช่วงที่เหมือนแพรทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตคู่ แต่พัดโบกมีผู้หญิงอื่น เมื่อเหมือนแพรรู้เจ็บปวดเกินสุดจะทน ความโกรธแค้นจนถึงเลยขีดความอดทนทำให้เหมือนแพรเกิดแรงต้านพัดโบก นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มที่ทำให้พัดโบกเริ่มหันมามองเหมือนแพรบ้าง แต่สายเกินไป ความอ่อนไหวความเปราะบางของจิตใจ จนยอมรับความเจ็บปวด ความกดดันที่เกิดจากปมของใจไม่ได้ ทำให้เหมือนแพรยุติความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของตัวเองด้วยการกินยาฆ่าแมลงและจากโลกนี้ไป...ฉันจำได้ว่าอ่านมาถึงตรงนี้ฉันน้ำตาซึม เข้าใจถึงความทุกข์ของคนที่อ่อนไหวง่าย ถ้าจำไม่ผิดตอนเปิดต้นๆ เรื่อง เนื้อเรื่องจะอยู่ที่ตอนเหมือนแพรจะอยู่ในห้วงของความอ่อนไหวจากความรัก แล้วเนื้อเรื่องจึงย้อนที่มาที่ไป ฉันจำท่อนความหนึ่งในเรื่องลางๆ ที่บอกถึงความรู้สึกลึก และอ่อนไหวได้ว่า (ถ้อยความอาจจะไม่ตรงทั้งหมด เท่าที่จำเนื้อความได้ ต้องขออภัยหากผิดพลาด)


ทะเลไซร้ มีไขมุกอันพราวแสง

ในดวงใจของฉันอันอ่อนแรง มีหัวใจแอบแฝงอยู่หนึ่งรา


ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันจึงประทับใจกับถ้อยความนี้ มันเหมือนจะบอกว่า ลึกๆ ของใจเราอาจจะมีความรู้สึกที่เรียกว่ารักฝังไว้อยู่เสมอ

ชื่อพัดโบกที่เป็นพระเอกของเรื่อง ชวนให้ฉันนึกถึงพัดโบก ดอกสีขาวบางเล็กๆ เสน่ห์ของพัดโบกจะอยู่ที่ความน่ารัก โดยเฉพาะเมื่อยามออกดอกขาวพราวเต็มต้น แต่ความน่ารักนี้ไม่คงทน เมื่อดอกบานแป๊บๆ ไม่ถึงวันก็ร่วงหล่นไป เหมือนอะไรที่ดูไม่มั่นคง มาสักพักแล้วก็จากไป ดูแล้วใจหาย ฉันไม่รู้ว่าผู้ประพันธ์จะนึกถึงดอกพัดโบกนี้ด้วยหรือไม่