ทุกๆ วันนี้กับชีวิตที่หาเวลาไม่ค่อยจะได้ ก็ทำให้ตัวเองไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องราวอะไรที่จะทำให้ใจอ่อนไหวนัก หรือพยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้...วันนี้จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องราวและความรู้สึกบางอย่างที่ผ่านมาในชีวิตเกิดกระทบใจ ทำให้ต้องขุดคุ้ยความรู้สึกเก่าๆ ขึ้นมา กระทบไปถึงความรู้สึกของคำว่าอ่อนไหวบ้าง แล้วก็เลยนึกถึงไปว่าฉันเคยอยู่กับความรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ พักหลังมันหายไปไหน ฉันไม่มีเวลาจะนั่งนึกถึงเหรอ ? ก็คงจะไม่ใช่ นึกๆ ย้อนไป ใช่แล้วล่ะ ที่ฉันพยายามสลัดความรู้สึกของความเป็นคนช่างอ่อนไหวออกไปเพราะความกลัว กลัวว่าความอ่อนไหวมันจะทำให้จิตใจของคนเปราะบาง ฉันถามตัวเองว่าฉันเริ่มกลัวมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ความจริงแล้วความอ่อนไหวมีส่วนทำให้เรามีจินตนาการ หรือความละเอียดอ่อนได้ เมื่อนึกย้อนไปก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ฉันเริ่มกลัวความรู้สึกอ่อนไหว เมื่อคราวที่ได้อ่านนวนิยายเล่มหนึ่งเข้า
"บ้านขนนก" ของกฤษณา อโศกสิน คือชื่อนวนิยายเล่มนั้น ฉันชื่มชมคนเขียนที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวธรรมดาของผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ลึกซึ้งและกินลึกไปถึงอารมณ์ของผู้อ่าน จนทำให้ฉันกลัวเรื่องความอ่อนไหว เพราะผู้เขียนเองก็คงตั้งใจจะสื่อถึงอารมณ์อ่อนไหวของคนเราว่ามีอานุภาพต่อชีวิตมากเพียงใด แม้แต่ชื่อของตัวละครยังสื่อชัดเจนว่ามีบุคลิกเช่นใด อย่าง "เหมือนแพร" ชื่อของนางเอก และ "พัดโบก" คือชื่อของพระเอก ฉันคงไม่สามารถบอกรายละเอียดเรื่องราวได้ทั้งหมด ฉันอ่านเรื่องนี้มานานแล้ว นานจนจำได้แต่เพียงว่าความรู้สึกอะไรที่ติดมาในความทรงจำ
เรื่องราวนั้นบอกเล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีอารมณ์เปราะบางและอ่อนไหวกระทบง่าย มีปมชีวิตอะไรบางอย่างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น มีชีวิตที่เติบโตขึ้นมากับวัตถุ ไม่เคยสัมผัสกับบรรยากาศชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น เพราะพ่อแม่แยกทาง อยู่กับแม่และโรงเรียนประจำ แต่สิ่งที่ไม่ขาดคือความพร้อมทางวัตถุ เนื้อเรื่องแสดงให้เห็นว่าเหมือนแพรคือคนที่โหยหาความรักและและความอบอุ่น ต้องการครอบครัว แต่โชคไม่ดีที่เหมือนแพรเจอกับผู้ชายอย่างพัดโบก ผู้ชายรักอิสระเสรี ไม่จริงจังกับชีวิต รักความรื่นรมณ์มากกว่าซาบซึ้งทางปรัชญาของชีวิต เจ้าชู้และไม่ชอบการผูกมัด ในช่วงแรกพัดโบกชอบเหมือนแพรตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ ประกอบกับเหมือนแพรอ่อนหวานเอาใจเก่ง เพราะความรักและความจริงจังที่ต้องการมีครอบครัว เหมือนแพรจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับพัดโบก ระหว่างคนที่ไม่ชอบการผูกมัด และคนที่ต้องการการผูกมัดเพื่อความมั่นคงจึงเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีทางบรรจบ เมื่อพัดโบกอิ่มในความรักและหลง จึงกลัวความจริงจังและการผูกมัดของเหมือนแพร แม้เรื่องราวจะลงเอยถึงตอนที่พัดโบกและเหมือนแพรควรจะต้องแต่งงานกัน พัดโบกยิ่งดึงใจของตัวเองออกไป ไกลเท่าใดยิ่งทำร้ายเหมือนแพรเท่านั้น ในช่วงที่เหมือนแพรทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตคู่ แต่พัดโบกมีผู้หญิงอื่น เมื่อเหมือนแพรรู้เจ็บปวดเกินสุดจะทน ความโกรธแค้นจนถึงเลยขีดความอดทนทำให้เหมือนแพรเกิดแรงต้านพัดโบก นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มที่ทำให้พัดโบกเริ่มหันมามองเหมือนแพรบ้าง แต่สายเกินไป ความอ่อนไหวความเปราะบางของจิตใจ จนยอมรับความเจ็บปวด ความกดดันที่เกิดจากปมของใจไม่ได้ ทำให้เหมือนแพรยุติความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของตัวเองด้วยการกินยาฆ่าแมลงและจากโลกนี้ไป...ฉันจำได้ว่าอ่านมาถึงตรงนี้ฉันน้ำตาซึม เข้าใจถึงความทุกข์ของคนที่อ่อนไหวง่าย ถ้าจำไม่ผิดตอนเปิดต้นๆ เรื่อง เนื้อเรื่องจะอยู่ที่ตอนเหมือนแพรจะอยู่ในห้วงของความอ่อนไหวจากความรัก แล้วเนื้อเรื่องจึงย้อนที่มาที่ไป ฉันจำท่อนความหนึ่งในเรื่องลางๆ ที่บอกถึงความรู้สึกลึก และอ่อนไหวได้ว่า (ถ้อยความอาจจะไม่ตรงทั้งหมด เท่าที่จำเนื้อความได้ ต้องขออภัยหากผิดพลาด)
ทะเลไซร้ มีไขมุกอันพราวแสงในดวงใจของฉันอันอ่อนแรง มีหัวใจแอบแฝงอยู่หนึ่งราฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันจึงประทับใจกับถ้อยความนี้ มันเหมือนจะบอกว่า ลึกๆ ของใจเราอาจจะมีความรู้สึกที่เรียกว่ารักฝังไว้อยู่เสมอ
ชื่อพัดโบกที่เป็นพระเอกของเรื่อง ชวนให้ฉันนึกถึงพัดโบก ดอกสีขาวบางเล็กๆ เสน่ห์ของพัดโบกจะอยู่ที่ความน่ารัก โดยเฉพาะเมื่อยามออกดอกขาวพราวเต็มต้น แต่ความน่ารักนี้ไม่คงทน เมื่อดอกบานแป๊บๆ ไม่ถึงวันก็ร่วงหล่นไป เหมือนอะไรที่ดูไม่มั่นคง มาสักพักแล้วก็จากไป ดูแล้วใจหาย ฉันไม่รู้ว่าผู้ประพันธ์จะนึกถึงดอกพัดโบกนี้ด้วยหรือไม่