6 มิ.ย. 2550

ชิงช้าในสวน



จำได้ว่าเมื่อตอนที่เพื่อนให้ภาพสาวน้อยนั่งชิงช้าท่ามกลางมวลดอกไม้นี้ เพื่อนบอกว่า "เห็นชอบชิงช้า ผ่านชิงช้าทีไรชอบวิ่งไปนั่งเล่น และวันสุดท้ายที่เราได้มีโอกาสนั่งคุยกันนานๆ ก่อนที่เราจะต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง เราก็นั่งคุยกันที่ชิงช้า เห็นภาพนี้เลยนึกถึง เลยให้ภาพนี้ไว้เป็นความทรงจำ" ตอนนั้นดูๆ ก็ชอบนะ ดูทีไรก็ให้ความรู้สึกดี มองภาพนี้ทีไรเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีความสุข ท่ามกลางสิ่งสดชื่นสวยงาม และใจเป็นอิสระ เคยคิดเหมือนกันว่าดูแล้วหลายๆ คนก็ชอบชิงช้า ถามตัวเองว่าทำไม ก็ตอบได้แต่เพียงว่ามันให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระมัง

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังเก็บภาพนี้ไว้เสมอ แม้เพื่อนกับฉันเราต่างไปตามทางของตัวเอง ไม่ใช่สาวน้อยที่จะมานั่งรำพันเพ้อฝันให้กันฟังแล้ว มีโอกาสได้โทรคุยกันบ้าง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องราวสุขทุกข์ตามสภาพแวดล้อมความเป็นจริงและโลกที่รายรอบตัว ดังนั้นเรื่องราวที่เราคุยกันจึงดูเหมือนจะออกไปทางเรื่องทุกข์มากกว่าเรื่องสุข ฉันเก็บภาพนี้ไว้ในตู้โชว์ที่แม้จะไม่ได้ตั้งใจมองจริงจังก็จะมองเห็นภาพนี้อยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อว่าภาพนี้มันสื่อความหมายกับฉันมากขึ้นทุกวัน เมื่อจู่ๆ วันหนึ่งชีวิตก็พลิกผันเข้ามาพัวพันในโลกของดอกไม้ แล้วจนกระทั่งเมื่อสามสี่วันที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเดินย่านแหล่งที่ขายไม้เก่า เจอเสาไม้กลมๆ สองต้น ความรู้สึกและแรงปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ในใจตลอด เป็นแรงบันดาลใจอย่างไม่รอช้า รีบหอบเสาสองต้นนี้มาพร้อมกับหาชิ้นส่วนประกอบบางอย่างหิ้วติดกลับมาด้วย มาถึงที่หมายภายในหนึ่งชั่วโมง ฉันก็ได้สิ่งนี้มาสนองความปรารถนาที่ซุกซ่อนมาแต่วัยเยาว์



เมื่อเสร็จแล้วรอจนมั่นใว่าใช้งานได้ รีบลองนั่งดู เฮ้อ! สังขารนั้นไม่เที่ยง ตอนเด็กๆ จำได้ว่าโหนชิงช้าจนสุดสาย จนอยู่สูงเหมือนลอยในอากาศ แต่วันนี้มีชิงช้าเป็นของตัวเองทำกับมือ แค่โยกนิดหน่อย ก็ทำเอาหัวหมุนติ้ววิงเวียน แบบฉบับอาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จึงทำได้แต่เพียงนั่งตรงแผ่นกระดานนิ่งๆ ซึมซับเอาอารมณ์ความรู้สึกของการนั่งชิงช้าก็พอ