26 ก.พ. 2551

สูงสุดสอย...เด็ดมาไว้ใกล้ๆ ใจ




วันก่อนเกิดความรู้สึกอยากชื่นชมโมกหลวงใกล้ๆ ต้นโมกหลวงที่ข้างๆ บ้าน ตอนนี้สูงเหลือเกิน พอดอกบานสะพรั่งทีในกรณีปกติคงต้องแหงนดูจนเมื่อยคอ แต่วิธีชื่นชมของเราคือวิ่งขึ้นไปบนบ้าน และมองออกทางหน้าต่าง หรือยืนชมตรงระเบียงบ้าน ปกติไม่เคยนิยมเด็ดดอกไม้ออกจากต้น เพราะมองยังไงๆ ก็ไม่สวยเหมือนบนต้นจริง แต่วันนั้นอารมณ์ไหนไม่รู้ นึกอยากจะเด็ดโมกหลวงมาปักในแจกันเล็กๆ หรือว่าลึกๆ ลงไปในใจ อาจจะรู้สึกขัดแย้ง อยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่รู้สึกเหมือนโถมทับอยู่ในใจ หนักอึ้งเหมือนเอาภูเขาทั้งลูกมาตั้งไว้ อยากยกมันออกไปให้ใจมันโล่งๆ เบาหวิว อารมณ์พาไปจึงเด็ดดอกโมกหลวงจากต้นยักษ์ใหญ่มาปักไว้ในแก้วน้ำเล็กๆ จากแก้วเล็กๆ ที่ดูว่างเปล่าไร้ค่า ดูสดชื่นมีชีวิตชีวาและมีความหมายต่อความรู้สึกขึ้นทันควัน แต่นั่นแหละนะทุกสิ่งทุกอย่างทุกเรื่องราวเราอาจจะสมมติเอาได้ อยากให้เป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ ดอกไม้บนต้นสูงใหญ่มาอยู่ในแจกันใบเล็กๆ ได้ แต่เรื่องราวที่เป็นไปในความเป็นจริงเราหนีไม่พ้น โมกหลวงบานสะพรั่งอยู่บนต้นอยู่ได้แสนนานหลายวัน แต่พอเอามาปักในแจกันเพียงไม่ถึงสิบนาทีก็เหี่ยวคอตกคอพับคออ่อนอย่างน่าเสียดายความสวยที่เราเด็ดออกมา นี่แหละหนา ความเป็นจริง บางสิ่งบางอย่างเราไม่สามารถฝืนมันได้เลย สิ่งนั้นจะคงคุณค่าเมื่ออยู่ในที่ที่ควรอยู่

6 มิ.ย. 2550

ชิงช้าในสวน



จำได้ว่าเมื่อตอนที่เพื่อนให้ภาพสาวน้อยนั่งชิงช้าท่ามกลางมวลดอกไม้นี้ เพื่อนบอกว่า "เห็นชอบชิงช้า ผ่านชิงช้าทีไรชอบวิ่งไปนั่งเล่น และวันสุดท้ายที่เราได้มีโอกาสนั่งคุยกันนานๆ ก่อนที่เราจะต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง เราก็นั่งคุยกันที่ชิงช้า เห็นภาพนี้เลยนึกถึง เลยให้ภาพนี้ไว้เป็นความทรงจำ" ตอนนั้นดูๆ ก็ชอบนะ ดูทีไรก็ให้ความรู้สึกดี มองภาพนี้ทีไรเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีความสุข ท่ามกลางสิ่งสดชื่นสวยงาม และใจเป็นอิสระ เคยคิดเหมือนกันว่าดูแล้วหลายๆ คนก็ชอบชิงช้า ถามตัวเองว่าทำไม ก็ตอบได้แต่เพียงว่ามันให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระมัง

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังเก็บภาพนี้ไว้เสมอ แม้เพื่อนกับฉันเราต่างไปตามทางของตัวเอง ไม่ใช่สาวน้อยที่จะมานั่งรำพันเพ้อฝันให้กันฟังแล้ว มีโอกาสได้โทรคุยกันบ้าง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องราวสุขทุกข์ตามสภาพแวดล้อมความเป็นจริงและโลกที่รายรอบตัว ดังนั้นเรื่องราวที่เราคุยกันจึงดูเหมือนจะออกไปทางเรื่องทุกข์มากกว่าเรื่องสุข ฉันเก็บภาพนี้ไว้ในตู้โชว์ที่แม้จะไม่ได้ตั้งใจมองจริงจังก็จะมองเห็นภาพนี้อยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อว่าภาพนี้มันสื่อความหมายกับฉันมากขึ้นทุกวัน เมื่อจู่ๆ วันหนึ่งชีวิตก็พลิกผันเข้ามาพัวพันในโลกของดอกไม้ แล้วจนกระทั่งเมื่อสามสี่วันที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเดินย่านแหล่งที่ขายไม้เก่า เจอเสาไม้กลมๆ สองต้น ความรู้สึกและแรงปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ในใจตลอด เป็นแรงบันดาลใจอย่างไม่รอช้า รีบหอบเสาสองต้นนี้มาพร้อมกับหาชิ้นส่วนประกอบบางอย่างหิ้วติดกลับมาด้วย มาถึงที่หมายภายในหนึ่งชั่วโมง ฉันก็ได้สิ่งนี้มาสนองความปรารถนาที่ซุกซ่อนมาแต่วัยเยาว์



เมื่อเสร็จแล้วรอจนมั่นใว่าใช้งานได้ รีบลองนั่งดู เฮ้อ! สังขารนั้นไม่เที่ยง ตอนเด็กๆ จำได้ว่าโหนชิงช้าจนสุดสาย จนอยู่สูงเหมือนลอยในอากาศ แต่วันนี้มีชิงช้าเป็นของตัวเองทำกับมือ แค่โยกนิดหน่อย ก็ทำเอาหัวหมุนติ้ววิงเวียน แบบฉบับอาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จึงทำได้แต่เพียงนั่งตรงแผ่นกระดานนิ่งๆ ซึมซับเอาอารมณ์ความรู้สึกของการนั่งชิงช้าก็พอ

26 มี.ค. 2550

ดอกไม้ในความมืด

เหตุการณ์ในคืนวันหนึ่ง ที่ฉันได้มีโอกาสสนทนากับผู้ชายคนหนึ่ง เป็นเรื่องราวของความรู้สึกที่อยากจะบันทึกไว้ เป็นสิ่งเตือนใจว่า "เมื่อเราพบคนที่ดี อย่าปล่อยให้เขาเดินออกไปจากชีวิตเรา เพราะความแย่ๆ ของเราเอง" เรื่องมีอยู่ว่า...


ฉันควานหามือถือในกระเป๋าขึ้นมาดูเวลา เกือบสามทุ่มแล้ว คงสมควรจะปิดร้านแล้วสินะ ลูกค้าคงไม่มาแล้ว พอพูดถึงมือถือก็นึกได้ว่า เออ! เนอะ เดี๋ยวนี้มีอะไรก็ต้องพึ่งมือถือ ฟังเพลง อัดเสียง ถ่ายภาพ อัดวีดิโอ จดบันทึก คิดเลข เล่นเกม แล้วก็ดูเวลานี่แหละ มิน่าวันไหนขาดมือถือรู้สึกว่าขาดอะไรไปสักอย่าง แม้ไม่ได้สำคัญกับใจนัก หากไม่ต้องรอคอยเสียงตามสายจากใคร แต่ก็รู้สึกได้ว่าขาดสิ่งอำนวยความสะดวก เอาละ! คิดไปสะระตะ วกกลับเข้ามาเรื่องของเวลาในราตรีกาลของฉันวันนี้ดีกว่า



กำลังจะดึงปลั๊กไฟป้ายหน้าร้านที่จะแสดงว่าตอนนี้หยุดบริการแล้ว ก็มีแสงไฟจากรถยนตร์ที่กำลังเข้ามาจอดที่หน้าร้าน ฉันจึงชะงักยับยั้งมือที่กำลังจะดึงปลั๊ก พอไฟหน้ารถดับชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในร้าน ฉันก็พูดไปตามประสาแม่ค้าว่า "สวัสดีค่า เชิญค่ะ" เขายิ้มขรึมๆ ตอบว่า "สวัสดีครับ เอ่อ! โทษนะครับผมเห็นว่าที่นี่เป็นร้านอาหาร แต่เห็นมีต้นไม้เยอะ ไม่แน่ใจว่าขายต้นไม้ด้วยมั๊ยครับ" เขาก็เหมือนกับลูกค้าหลายๆ คน ที่สับสนว่าร้านฉันจะเป็นร้านอะไรกันแน่ ด้วยความที่มันเป็นรูปแบบอิสระ ฉันตอบว่า "ค่ะ หาต้นอะไรอยู่หรือเปล่าคะ" เขาตอบมาว่า "ครับ ผมอยากได้ต้นจำปีแขก" ฉันออกจะแปลกใจหน่อยๆ ไม่ค่อยเห็นผู้ชายมาถามหาต้นไม้แบบนี้ แต่ก็ตอบไปว่า "ไม่มีค่ะ แต่หากรอได้ เอาไว้ได้ไปรับต้นไม้มาเพิ่มจะหามาให้ค่ะ อยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ" เขาตอบว่า "เปล่าครับ ผมมาจากบางนา มาทำธุระกับเพื่อนแถวนี้ เขาอยากจะมาดูบ้าน ผมเลยมาเป็นเพื่อน เมื่อกลางวันผมก็ผ่านที่ร้านแล้วรอบนึง ก็กะว่าเดี๋ยวต้องมาแวะ แต่ก็ค่ำไปหน่อยน่ะครับ" ฉันจึงบอกเขาว่า "จำปีแขกไม่ใช่ต้นไม้หายากนัก คุณลองหาที่ต้นไม้ร้านใกล้ๆ ที่บ้านดูค่ะ" เขาบอกว่า "อ้อ! ครับ อืม ไม่ให้เสียเที่ยวผมทานอาหารละกันครับ ยังสั่งได้อยู่หรือเปล่าครับ" ฉันจึงบอกว่าได้ค่ะ แล้วเขาก็จัดการสั่งอาหารสักสองสามอย่าง ระหว่างที่นั่งรอ ด้วยความที่ยังคาใจ อดสงสัยไม่ได้ จึงถามเขาไปว่า "ชอบต้นจำปีแขกเหรอคะ ทำไมถึงชอบ" เขาไม่ตอบคำถามทันที นั่งดูตาลอยๆ สักพัก จนฉันไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะตอบหรือเปล่า จึงรีบชิงบอกไปว่า "ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ต้องตอบก็ได้ แค่ลองถามดูน่ะค่ะ ว่าทำไมชอบต้นนี้" เขารีบตอบว่า "ไม่ใช่ไม่อยากตอบนะครับ แต่กำลังคิดว่าจะอธิบายยังไงดี คืออย่างนี้ครับ" แล้วเขาก็เริ่มพูดยาวถึงความเป็นมาในการตามหาต้นจำปีแขก เขาเล่ามาตามที่ฉันลำดับความได้ก็มีว่า

"ก่อนหน้านี้ ผมมีแฟนคนหนึ่งครับ จะว่าไปก็ถือว่ารักกันมากนะครับ เธอเป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที ตอนแรกที่รู้จักกันก็ไม่คิดว่าจะรักกันนะครับ เราเป็นเพื่อนกันธรรมดา ตอนนั้นผมเพิ่งอกหักจากแฟนเก่า แฟนเก่านั้นผมรักเขามาก เป็นรักสุดๆ ครั้งแรกในชีวิตผม ตั้งแต่ตอนผมเรียนป.ตรี เธอสวยและมีเสน่ห์ มีคนจีบเธอเยอะ แต่เธอเลือกผม เราก็คบๆ กัน แต่ตอนจบมาทำงานแล้ว เธอก็ได้ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง พอผมจบผมก็คิดว่าจะตั้งหน้าตั้งตาสร้างครอบครัวกับเธอ ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน แต่จู่ๆ เขาก็มาขอเลิกกับผม ผมยังงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอก็ไปจากผมแล้ว โดยที่ผมยังไม่มีโอกาสรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เดาเอาว่าเธอคงมีแฟนใหม่ ตอนนั้นผมเสียใจมากถึงขนาดเรียกว่าเข็ด ต่อมาผมก็มาเจอแฟนคนใหม่ที่พูดถึงนี้แหละ แรกๆ ที่รู้จักก็ไม่คิดว่าจะเป็นแฟนกัน แต่เธอเป็นคนดีครับ ดีจนผมรู้สึกว่าตั้งแต่ผมมีเธอเป็นเพื่อนผมรู้สึกว่าชีวิตผมสงบดีมันบอกไม่ถูก ผมรู้จักเธอมาสองปีก็รู้สึกว่าเป็นแฟนกันแล้ว จนผ่านไปสี่ปีผมกับเธอก็เป็นแฟนกันสมบูรณ์แบบ เธอมาใช้ชีวิตกับผมโดยผ่อนคอนโดอยู่ เราไม่ได้แต่งงานกัน ผมบอกไม่ถูกรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตแบบนั้น เธอก็ยังไม่อยากให้เราแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวในตอนนี้ มันเหมือนกับเราเห็นต้องคล้องกัน พ่อแม่เธออยู่ต่างประเทศครับ เธอจึงคิดว่าเธอสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ในเวลานี้ และเธอก็เป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบ เราตกลงใจมาอยู่ร่วมกันเพื่อดูใจไปสักพัก ตอนที่มาอยู่ด้วยกันใหม่ ตอนนั้นผมก็เริ่มหาสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต จริงๆ แล้วพ่อแม่ก็พอจะมีสตางค์ให้ผมเก็บอยู่บ้าง แต่สุรุ่ยสุร่าย เงินก็หายไปเยอะ ผมไปลงทุนทำผับกับเพื่อนในตอนนั้น ลงทุนกับการตกแต่งไปเยอะ พอเปิดจริงๆ แรกๆ ก็เข้าเนื้อมาก จนไม่ไหว แต่ด้วยความที่ไม่อยากปิดตัวไป ผมก็ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนสู้ไป แล้วแฟนผมก็ช่วย ช่วยจนเรียกได้ว่ามีเท่าไหร่เธอให้หมด ขนาดขายรถให้ผมด้วย รถเธอยังใหม่ๆ พ่อแม่เธอซื้อให้ไม่นาน แต่เราก็คิดว่าเราใช้รถผมคันเดียวก็พอ" คิดว่าตอนนั้นฉันคงทำหน้างงเล็กน้อย เขาจึงเดาคำถามในใจฉันได้ว่า "ทำไมเขาไม่ขายรถของเขาเอง?" เขาจึงชิงตอบก่อนว่า "พอดีรถผมมันขายไม่ได้ครับ พ่อผมซื้อให้ยังเป็นชื่อเขาไม่ได้โอน และการพูดกับพ่อมันก็ยากมากๆ แฟนผมจึงตัดปัญหาช่วยผมแก้สถานการณ์ก่อน" แล้วเขาก็เริ่มเล่าต่อไปว่า "หลังจากกู้สถานการณ์มาด้วยความลำบาก เธอก็เป็นเพื่อนเคียงข้างผมมาตลอด อ้อ! ผมเกือบลืมเล่าไปครับว่า ตอนที่เธอมาอยู่กับผมใหม่ๆ ปกติเธอจะเป็นคนที่ชอบต้นไม้มาก อยู่บ้านเธอก็ชอบปลูก โดยเฉพาะไม้หอมไทยๆ แต่มาอยู่คอนโดกับผมก็ลำบากหน่อย แต่เธอก็ยังปลูกได้อีก เธอปลูกในกระถาง ไว้ตรงระเบียงห้อง ผมจำได้เธอปลูกต้นจำปีแขกเป็นพุ่ม เธอบอกว่ามันปลูกในกระถางได้ และมีดอกหอม ตอนมันออกดอกเธอชวนผมไปชื่นชมบ่อย แต่ผมเป็นคนที่ไม่สนใจเอาเสียเลย ก็เออออกับเธอไปตามเรื่อง เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาได้เกือบสองปี ไม่เคยมีปัญหา ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไร และผมก็คิดว่าชินกับการมีเธออยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างแล้ว แต่แล้วคงจะเป็นกรรมของผมเอง จู่ๆ แฟนเก่าที่เคยทิ้งผมไปก็กลับมาหาผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าผมลืมแฟนปัจจุบันไปเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าผมหลงแฟนเก่าผมเอามากๆ อีกครั้ง เธอบอกว่าเธอไม่มีใครและรู้แล้วว่าเธอต้องการผม ความรู้สึกเก่าๆ มันกลับมาหาผม จนถึงขนาดว่าผมมีความคิดว่าทำยังไงแฟนคนปัจจุบันถึงจะไปจากผม ผมไม่สามารถบอกเธอตรงๆ ได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่ผิดอะไร แต่หากเทียบความรู้สึก ความต้องการที่อยากจะใช้ชีวิตกับแฟนเก่ามีมากเหลือเกิน เพราะก่อนที่เธอจะจากไปเราเป็นแค่เพียงแฟนกันธรรมดา และผมเคยคิดจะสร้างครอบครัวกับเธอ เรื่องมันยุ่งจนถึงที่ว่าผมได้เสียกับแฟนเก่าแล้ว ทำให้ความพยายามที่จะเลิกกับแฟนคนปัจจุบันมีมากขึ้น ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าแฟนคนปัจจุบันรู้ว่าผมกลับไปหาแฟนเก่า แต่เขาไม่พูด ไม่โวยวาย และยังดีกับผมปกติ ผมรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว วันหนึ่งผมบอกเธอว่า ผมรู้สึกว่าตอนนี้บรรยากาศของเราไม่เหมือนเดิม ผมคิดดูแล้วว่าอยากให้เธอลองห่างผมไปสักพัก เพื่อที่ผมจะได้ถามใจตัวเองว่าต้องการอย่างไรกันแน่ และเผื่อว่าถ้าเขาไปจากผมแล้วเขาจะรู้สึกว่าชีวิตเขาสบายขึ้นไม่มีพันธะ หรือภาระใดๆ ผมคิดว่าผมไม่ได้ดีกับเธอพอ ผมก็ไม่สบายใจ แล้วเมื่อเราห่างกันไปสักพักแล้ว เราค่อยมาตัดสินใจกันอีกครั้งว่าเรายังอยากอยู่ด้วยกันหรือไม่ น่าแปลกนะครับที่เธอไม่โวยวาย ไม่ต่อว่าอะไร ไม่พูดอะไรสักคำ มีอย่างเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่าเธอรู้สึกเจ็บช้ำก็คือ น้ำตาเธอไหลตลอดเวลาที่เธอนั่งนิ่งๆ เป็นชั่วโมง ผมก็อึดอัดเหมือนจะบ้าตาย รู้สึกผิดและสับสน แต่ก็ทำไปแล้ว แล้วผมก็ขับรถออกจากคอนโดไป คืนนั้นผมก็ไม่ได้กลับ ไปค้างกับแฟนเก่า พอวันต่อมาที่ผมกลับเข้ามา แฟนผมเขาก็ไปแล้ว ผมก็ใจหายวาบตอนที่เห็นจดหมาลาของเธอ เธอบอกว่า...

คงถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว ฉันไม่ได้ไปเพราะอยากไป แต่คุณขอให้ฉันไป ตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับคุณ ความทุกข์ก็คงมี แต่ฉันมีความสุขมากกว่าเพราะฉันรักคุณ การที่คุณกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าฉันก็รับรู้ ถามว่าเจ็บมั๊ยก็เจ็บ แต่ฉันก็ทนได้ เพราะคิดไปว่าความรักที่มีต่อคุณมันอาจจะทำให้คุณกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่เมื่อคุณเป็นคนเอ่ยปากออกมาให้ฉันไปจากชีวิตคุณ ความอดทนของฉันมันก็สิ้นสุด แม้ฉันจะตัดสินใจจะไปแต่หากถามว่าฉันยังรักคุณมั๊ยฉันก็ยังรักเหมือนเดิม แต่ให้คิดว่าสักวันเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันได้ใหม่มั๊ย ฉันมีคำตอบให้กับตัวเองว่าไม่แน่นอน และก็เป็นคำตอบที่ฉันให้กับคุณด้วยว่า ไม่มีคำว่า เผื่อวันข้างหน้า มีแต่วันนี้ที่เรารับรู้กันว่ามันจบแล้ว มีอีกเรื่องที่ฉันอยากบอกคุณก็คือ ฉันเสียใจที่คุณไม่กล้าหาญพอที่จะบอกกับฉันว่า ที่คุณอยากให้ฉันไปเพราะคุณไม่รักฉันแล้ว คุณมีคนที่คุณรักอยู่เต็มหัวใจจนไม่มีที่ว่างจะให้ฉันอยู่ แต่อย่างไรก็ขอให้คุณโชคดีและสมหวังในสิ่งที่ต้องการ...

ครั้งแรกที่ผมได้อ่านจดหมายเธอ ผมก็ใจหายบอกไม่ถูก แต่เมื่อคิดถึงแฟนเก่าที่จะต้องใช้ชีวิตด้วยมันก็ตอบตัวเองว่า นี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผม แล้วผมก็ได้ใช้ชีวิตกับแฟนเก่าที่คอนโดของผม เวลาผ่านไปจะว่าไปผมก็รู้สึกว่ายิ่งนับวันผมก็ยิ่งลืมแฟนที่จากไปไม่ได้ ผมรู้สึกว่าชีวิตผมร้อนขึ้นทุกวัน ผมไม่สามารถบรรยายได้ว่าเป็นอย่างไร แต่บรรยากาศมันต่างกันลิบกับตอนที่แฟนผมคนนั้นยังอยู่ ผมเริ่มรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อผมเริ่มมองเห็นแฟนเก่าที่อยู่ด้วยนี้ในมุมมองที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่คิดว่าเธอจะเป็นแบบนี้ เอาเป็นว่าผมเพิ่งรู้ว่าการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่สุขสงบเป็นอย่างไร ผมเริ่มเป็นทุกข์มาก ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งคิดถึงแฟนเก่า ผมตามหาเธอตลอด แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลเกี่ยวกับเธอเลย งานที่เธอทำอยู่เธอก็ลาออกไปแล้ว ผมเอาจดหมายลาของเธอมาอ่านซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ยิ่งอ่านยิ่งเจ็บปวดใจ นึกเสียดายและเจ็บใจตัวเองที่ปล่อยให้เธอเดินไปจากชีวิตผม วันนี้ที่ผมมาหาต้นจำปีแขกเพราะผมคิดถึงเธอ ผมเพิ่งรู้สึกว่าผมอยากปลูกต้นจำปีแขกไว้ตรงที่ระเบียงอีก อย่างน้อยก็จะได้รู้สึกอุ่นใจ หากผมต้องกลับเข้าห้องไปแล้วรู้สึกว่ายังมีเงาของเธออยู่ ตอนนี้ผมรู้สึกเดียวดายมากแม้ว่าแฟนเก่าจะยังอยู่กับผมก็ตาม.....

ฉันได้สนทนากับเขาสักพักในรายละเอียดของความเห็นต่างๆ เมื่อถึงเวลาเขากลับแล้ว ฉันก็คิดว่าเข้าใจความรู้สึกของเขา คนเราก็อย่างนี้ รู้สึกเสียดายเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว ในขณะที่มีอยู่ไม่รู้จักรักษา จิตใจคนเราดูเหมือนจะบอบบาง ในเวลาอ่อนแออาจจะเจ็บจนไม่สามารถกระทบได้ แต่เมื่อยามต้องทนก็ดูแข็งแกร่งอยางไม่น่าเชื่อ

20 มี.ค. 2550

โฮยา...นมตำเลีย

เมื่อวานก่อนกลับบ้านแว๊บไปตลาดต้นไม้ที่ตลาดไท เป็นเรื่องปกติแวะไปทีใดจะต้องมีต้นไม้ห้อยติดไม้ติดมือกลับบ้าน เลยได้ช้างเผือก ช้างพลาย แล้วก็นมตำเลียหรือโฮยา พูดถึงโฮยา เราก็เรียกแต่โฮยา และใจก็คิดอยู่เสมอว่าดอกโฮยานี่น่ารักดี มีหลายรูปร่าง หลายสี แต่ก็ไม่ยักกะสนใจว่าแต่ละชื่อเรียกว่าอะไรเสียที ตื่นเช้ามาก็เก็บภาพเจ้าโฮยาสามต้นที่เพิ่งได้มา พอเอามาดูก็นึกถึงภาพโฮยาต้นอื่นๆ ที่เคยเก็บไว้ ตั้งแต่จับกล้องใหม่ๆ เก็บภาพดอกไม้ ชนิดที่ว่าภาพที่ถ่ายออกมามีแต่ภาพเบลอๆ พอดูๆ ไปก็ถึงเห็นว่า เออแฮะ ขนาดเราไม่สนใจยังมีภาพโฮยาต่างชนิดกันถึง 13 ชนิด แต่เราเรียกแต่โฮยา และพอจะรู้ชื่อไทยบางชนิดมาบ้าง เกิดความรู้สึกตะหงิดๆ ว่าชักอยากจะรู้ชื่อชนิดของโฮยา ว่ามีอีกกี่ชนิด กี่พันธุ์บ้าง เอ! สงสัยเราต้องเริ่มตามหาข้อมูลสนองความอยากรู้แล้วล่ะ เริ่มต้นจาก โฮยาทั้งหมดที่มีภาพตอนนี้ก่อน

"กระดุมแดง" (Hoya publicalyx) ถ่ายภาพจากต้นที่ปลูกเอง เป็นโฮยาต้นแรกที่ปลูกมังถ้าจำไม่ผิด


"โฮยาฟันกราม" (Hoya mitrata) เป็นอีกต้นที่ซื้อมาปลูก แต่คงดูแลไม่ถูกวิธีนักตอนนี้ต้นจึงไม่ค่อยงาม


"ทองหยิบ" (Hoya kenejiana) ต้นนี้ซื้อมาปลูกเช่นกัน ครั้งแรกที่เห็นก็หิ้วมาเลยเพราะชอบสี


Hoya carnosa compacta 'Hindu Rope'

ตัวนี้ได้มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้ เคยเห็นต้นนี้ที่สวนหลวง ร.๙ ป้ายปักชื่อไว้ว่า "โฮยาเกลียวสวาท" เพราะใบหงิกงอเป็นเกลียวนั่นเอง


Hoya imperialis 'Borneo Red'

ตัวนี้ได้มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้เช่นกัน เขาเรียกว่า "โฮยาจักรพรรดิ์" เพราะขนาดดอกอลังการนั่นเอง ดูแล้วก็ชอบเพราะแปลกตาดี


"8 ลักยิ้ม" (Hoya compacta 'Krinkle 8') ตัวนี้ก็หิ้วมาเมื่อวานเหมือนกัน หน้าตาใบและดอกคล้ายกับโฮยาเกลียวสวาท แต่ใบไม่หงิกหงอเท่า


Hoya australis ssp. tenuipes เก็บมาจากซุ้มไม้เลื้อยที่สวนหลวงร.๙


Hoya vaccinoides (Syn. wee-bella) ตัวนี้เก็บมาจากสวนหลวงร.๙ เช่นกัน


ตัวนี้ปลูกไว้เองเช่นกัน เขาเรียกกันว่า "โฮยาหูช้าง" มีรูปร่างใบคล้ายหูช้างจริงๆ แหละ แต่ได้ข้อมูลมาว่าไม่ใช่โฮยา


"โฮยาประกายแก้ว" (Hoya pachyclada) แต่เห็นบางตำราก็เรียกว่า "ต้างใหญ่" อาจจะเป็นชื่อเรียกเฉพาะถิ่นต่างกันด้วย


ตัวนี้ไม่แน่ใจว่าตัวเดียวกับที่เขาเรียกว่า "โฮยาตุ้มหูเพชร" หรือไม่ เอาไว้หาข้อมูลอีกที มีใบเล็กและดอกเล็กๆ คล้ายตุ้มหูเล็กๆ แบบฝังเพชรจริงๆ ด้วย


ตัวนี้เคยเห็นเขาเรียกว่า "โฮยาหัวลูกศร" แต่ข้อมูลเป็นอย่างไรนันยังไม่ทราบ เคยเห็นเขาเรียกอีกชื่อแต่ก็จำไม่ได้ เอาไว้หาข้อมูลอีกที


และตัวสุดท้ายในตอนนี้ที่มีอยู่ เป็นต้นที่ปลูกเองเช่นกัน แต่ยังไม่เคยได้เห็นดอก เท่าที่รู้เรียกกันว่า "หัวใจทศกัณฑ์" ต้นนึงมีหลายดวงเหลือเกิน ไม่รู้จะถอดวางตรงไหนบ้าง เห็นเขานิยมเอาใบเดี่ยวๆ มาปักในกระถางเล็กๆ ขายในวันวาเลนไทน์มอบให้กันแทนหัวใจ แล้วใบนั้นก็งอกต่อไปได้

ตอนนี้ข้อมูลมีเท่านี้ละ เอาไว้ตามหาเป็นเรื่องเป็นราวต่อไป เรียกแต่โฮยา ภาพเลยเป็นแต่ต้นไม้ฝรั่งจ๋า จริงๆ ต้นนี้ก็มีเรียกชื่อเป็นของไทยๆ แต่โบราณว่า "นมตำเลีย" เอ! ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรียกแบบนั้น ตอนเด็กๆ เวลาท่องกลอนก็จะเคยเจออยู่บท ลองค้นหาจากกูเกิ้ล ก็เจอท่อนนั้นว่า

กล้วยไม้ห้อยต่ำเตี้ย

นมตำเลียเรี่ยทางไป

หอมหวังวังเวงใจ

ว่ากลิ่นแก้วแล้วเรียมเหลียว

จาก "นิราศธารทองแดง" พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร

15 ต.ค. 2549

ดอกไม้ จาก "ความสุขของกะทิ"

ได้เวลาหยิบวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน เรื่อง "ความสุขของกะทิ" ของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ขึ้นมาชื่นชมความเป็นหนึ่งทางงานเขียนกับเขาบ้าง อ่านแล้วเป็นอย่างไรนั้นคงไม่มีความเห็นใดๆ เพิ่มเติมเพราะมีรางวัลรับรองคุณภาพอยู่แล้ว แต่ที่ออกจะนิยมชมชอบก็คือผู้เขียนพูดถึงดอกไม้ต้นไม้เป็นระยะในงานเขียน ถึงขนาดชื่อบางตอนเป็นชื่อดอกไม้ด้วยแน่ะ เช่น ผักบุ้งทะเล ลั่นทม พยับหมอก ทั้งที่เนื้อหาไม่ได้เน้นความเป็นสาระสำคัญในดอกไม้ นอกจากความรู้สึกที่โยงใยไปถึง ก็อดคิดชื่นชมเอาไม่ได้ว่า ผู้เขียนคงมีใจกับดอกไม้อยู่บ้าง จึงผ่านแทรกซึมเข้ามาในงานเขียน จึงอยากเอามาบันทึกเป็นความรู้สึกประทับใจบ้าง


...
ดอกผักบุ้ง



"...ที่เห็นแน่ๆ ทุกครั้งคือผักปอดหรือผักตบ ดอกสีม่วงอ่อนจางดูบอบบาง ถือไว้ในมือไม่นานก็จะสลดหมดสวย ดอกผักบุ้งสีขาวก็ดูสวยดี ตาบอกว่าถ้าเป็นศิลปินมีฝีมือแบบโมเน่ต์ก็จะถ่ายทอดลงบนผ้าใบให้สวยหยด"

...
มะลิ



"ห้องพระเป็นอีกห้องหนึ่งที่ยายใช้เวลาในแต่ละวันรองจากห้องครัว กะทิเก็บดอกมะลิมาเสียบทางมะพร้าวและจัดใส่แจกัน พออาบน้ำจนสะอาดดีกว่าตอนเช้าแล้ว ก็ยกแจกันเข้าไปให้ยายในห้องพระ..."

...
หางนกยูง




"ตาเรียกต้นหางนกยูงว่า "เพลิงแห่งพนาไพร" กะทิเพิ่งรู้ว่าชื่อเต็มๆ คือหางนกยูงฝรั่ง ถ้าเป็นต้นหางนกยูงพันธุ์ไทย ดอกจะมีหลายสี ทั้งเหลือง ชมพู และแดง ไม่ใช่แดงอมส้มอย่างที่เห็นเต็มตาอยู่ในตอนนี้"

...
ผักบุ้งทะเล




"ดอกไม้เล็กๆ สีม่วงที่ขึ้นแซมประปรายบนเถายาวๆ ในมือของลุงตองดูคุ้นตา แล้วกะทิก็นึกได้ว่าผักบุ้งทะเลนั่นเอง เห็นขึ้นอยู่บนชายหาดข้างรั้วหน้าบ้าน ใบของมันสีเขียวสด มองดูเหมือนรูปหัวใจที่ตรงปลายเว้าเข้าหากัน..."

...
ลั่นทม




"ห้องพักของแม่หันหน้าออกทะเลที่ยามบ่ายถอยไปไกลเห็นลิบๆ ตาบอกว่า ถ้าจะลงทะเลตอนนี้ เห็นทีจะต้องเรียกสามล้อให้พาไปส่ง ผนังด้านข้างเป็นบานหน้าต่างตลอดแนว มองออกไปเห็นลั่นทมต้นใหญ่ ดอกสีขาวเหลืองส่งกลิ่นหอม ยายไม่ชอบเลย บอกว่าคนโบราณถือ ไม่ปลูกลั่นทมในบ้าน ตางึมงำว่านี่เป็นรีสอร์ท ไม่ใช่บ้านสักหน่อย..."

...
พยับหมอก




"พยับหมอกออกดอกอยู่ริมรั้ว เห็นเป็นสีม่วงอมฟ้า อยู่บนแนวไม้ระแนงสีขาวสะอาดตา ลุงตองบอกว่ามีคาถาเสกให้ออกดอกได้ตามเวลาที่ต้องการ แต่คาถาของลุงตองคงเสื่อมไปหน่อย เพราะแม่อยากเห็นก็ไม่ได้เห็น ดอกพยับหมอกอวดความงามวันที่แม่จากไปพอดี ลุงตองโทษฝน ตามปกติถ้าตัดกิ่งทิ้ง เมื่อครบสามสิบวันก็จะออกดอก ฝนทำให้ล่าไปจนแม่ไม่ได้เห็นความงามจากธรรมชาตินี้"

ในเรื่องยังกล่าวถึงต้นก้ามปู กับต้นสน ที่ไม่ได้มีตัวอย่างให้ดู ก็เราชอบต้นไม้ดอกไม้ จึงอดปลื้มไม่ได้เวลาเห็นเขาถ่ายทอดออกมาทางงานเขียน

7 ก.ย. 2549

ที่ไหนๆ ก็ไม่ขาดสีเขียว

เมื่อเช้าโบกแท็กซีมาทำงาน พอก้าวขึ้นรถเอี้ยวตัวปิดประตูยังไม่ทันสังเกตอะไร กลิ่นมะกรูดหอมสดชื่นมาแตะจมูก หลังจากปิดประตูเสร็จหันกลับมา ยิ่งกว่าความสดชื่นของกลิ่นมะกรูด เพราะนอกจากจะมองเห็นลูกมะกรูดวางอยู่หน้ารถแล้ว ยังมองเห็นพรรณไม้นานาพรรณปลูกในรถแท็กซี่อีกด้วย โหสุดยอด! ประทับใจเป็นที่สุด เลยถามเขาว่าชอบต้นไม้เหรอ เขาบอกว่าครับ ขอบอกว่าไม่ธรรมดาเลยนะเพราะไม่ใช่แต่เพียงเขาเอามาประดับรถเป็นชั่วครั้งชั่วคราว แต่เขาปลูกในรถจริงๆ ปลูกเป็นเรื่องเป็นราวและเติบโตงดงามดี ยิ่งมองพินิจพิจารณายิ่งมองเห็นลึกซึ้งไปถึงความใส่ใจและความละเอียดของเจ้าของรถ แหมเสียดายจังไม่มีกล้องอยู่ติดมือ แถมมือถือเจ้ากรรมที่มีกล้องด้วยก็หายไปเมื่อวานนี้ พูดถึงตรงนี้ก็ให้นึกเจ็บใจ พูดอยู่กับตัวเองเสมอว่าไอ้มือถือเนี่ยมีฟังก์ชันสารพัด แต่เราใช้มันไม่กี่อย่างเอง เสียดายเงินที่ต้องซื้อความแพงจากฟังก์ชันที่ไม่ได้ใช้ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่นึกถึงประโยชน์ของกล้องจากมือถือ...แต่ก็ไปซะละ ไม่เป็นไรบรรยายเอาละกัน...
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ตรงกลางคอนโซลหน้ามีกระถางโป๊ยเซียนแคระ ออกดอกสะพรั่ง และงดงามดี เป็นตำแหน่งที่โดนแดดโป๊ยเซียนจิ๋วๆ จึงงามนัก ที่น่ารักคือกระถางนั้นทำด้วยกระป๋องน้ำอัดลม แล้วก็มีช่อเดฟกระเป๋าลักษณะการเลื้อยบอกถึงการปลูกมั่นคงมานานพอประมาณ ปลูกในเปลือกของเมล็ดไม้สักอย่างเรียกชื่อไม่ถูก มองมาด้านข้างที่นั่งสองฝั่งเหนือหัวมีหลอดไฟกลมๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วปลูกพลูด่างห้อยย้อยลงมาไม่รก หลอดไฟนั้นก็แปะติดเรียบร้อย ด้านคอนโซลหลังมีต้นไม้ปลูกในกะลามะพร้าว เอื้องผึ้งเกาะขอนไม้ และโป๊ยเซียนจิ๋วปลูกในกระป๋องน้ำอัดลมเช่นกัน และประดับของตกแต่งธรรมชาติเล็กๆ น้อยๆ แต่พองาม ตรงกลางระหว่างที่นั่งคนขับเป็นตู้กระจกเหมือนตู้ปลาเล็กๆ ปลูกราชินีสีทองในน้ำ มีตะไคร่เขียวๆ ขึ้นดูเป็นธรรมชาติ ประสาทสัมผัสที่รับความสดชื่นด้วยสายตา จมูกสูดเอากลิ่นหอมของลูกมะกรูด แล้วหูก็ยังได้ฟังข่าวสารบ้านเมืองจากข่าวที่เปิดจากวิทยุในตัวรถ มองขึ้นไปด้านบนเห็นภาพพระ ภาพในหลวง และภาพผู้ใหญ่สูงวัยชายหญิงเดาว่าอาจจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของพี่คนขับ สิ่งต่างๆ ที่บรรยายมานี้อาจจะไม่ใช่ความสวยงามอลังการน่าตื่นตาตื่นใจ แต่เป็นความประทับใจในความละเอียดอ่อนของพี่คนขับ ความพิถีพิถัน ความใส่ใจ การดัดแปลงของที่ใช้แล้วไม่ต้องทิ้งเอามาประยุกต์ใช้โดยไม่ต้องซื้อหาของใหม่ให้เปลืองเงิน น่าจะบ่งบอกถึงการรู้จักคุณค่าของสิ่งของที่ตัวเองมีอยู่ ชวนให้นึกถึงหลักเศรษฐกิจพอเพียง แม้กระทั่งการฟังข่าวสารจากวิทยุของพี่เขาก็ชวนให้นึกถึงการเลือกรับแต่สิ่งที่ประโยชน์และเพิ่มพูนให้กับตัวเอง นึกๆ ไปว่า ความต่างทางฐานะเศรษฐกิจของคนในสังคมมีมากเป็นเรื่องธรรมดา และอาจจะเป็นเรื่องที่เลือกไม่ได้ เราทุกคนคงอยากอยู่อย่างสบายไม่มีปัญหา แต่การใช้ชีวิตและเลือกแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ให้กับตัวเองเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเลือกให้กับตัวเองได้ สำหรับความประทับใจที่ได้วันนี้นั้นบอกกับตัวเองได้ว่า เราสามารถทำสิ่งที่เราชอบได้โดยไม่สร้างเงื่อนไขมาเป็นอุปสรรค อยู่ในรถก็ปลูกต้นไม้ได้ สีเขียวๆ จึงตามเราไปทุกแห่งหน คุณค่าของสิ่งของที่เรามีไม่ได้อยู่ที่การได้มา แต่อยู่ที่ว่าเราสามารถสร้างสิ่งที่เรามีอยู่ให้เพิ่มเติมได้อย่างไร

30 ส.ค. 2549

หมาก็ชอบสวนเหมือนกันนะ

เคยสังเกตมั๊ยว่า เวลาให้หมาวิ่งเล่นบนสนามหญ้า หรือในสวนดูมันมีความสุขมากเหมือนกันนะ อย่างหมาเรานะถ้าพูดว่า "ปะไปฉี่" แค่นั้นแหละหูผึ่ง เพราะหมายความว่าจะได้ลงไปวิ่งไล่กันในสนามหญ้า

เตรียมพร้อมลงสวน



ช่วยรดน้ำด้วย เฮ้อ! กลุ้มยูเรียเกินขนาด



ไล่หยอกกันอย่างมีความสุข



ตัวพ่อต้องไว้ฟอร์มเลยได้แต่แอบดูเขาเล่น




ดูทีท่า



รอจังหวะ



เอ! ว่าแต่หมาเนี่ยมันชอบสอดรู้สอดเห็นด้วยหรือเปล่านะ